top of page

ห้ามพลาด! พาไปทำความรู้จักกับ Organic Content

เทคนิคการตลาดนั้นบอกเลยว่าจำเป็นสำหรับธุรกิจและบริการเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็อย่าลืมไปว่า Content ที่ดีนั้นก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน



ซึ่งในวันนี้เราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ Organic Content ว่าหมายถึงอะไร และการทำให้มีประสิทธิภาพนั้นต้องทำอย่างไร


Organic Content คืออะไร

  • คือคอนเทนต์หรือเนื้อหา ที่เป็นการแบ่งปันกับผู้คนในโซเชียลฟรีๆ โดยไม่ผ่านการจ่ายค่าโฆษณา หรือบูสต์โพสต์ใดๆ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มลูกค้าที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ โพสต์, วิดีโอ, สตอรี่ เป็นต้น ซึ่งคอนเทนต์นี้จะถูกแบ่งปันกับผู้ติดตามแฮชแท็ก (Hashtag) นั้นๆที่คุณใช้อยู่ และผู้ติดตามของคนที่แชร์โพสต์ต่อจากคุณมาอีกทีนั่นเอง


ทำไมควรลงทุนเพิ่มใน Organic Content



  • สังเกตได้ว่าในช่วงแรกของการทำ Social Media หลายธุรกิจจะมีการโพส Content ต่างๆ ตามปกติโดยไม่มีการใช้ Paid media เข้ามาเป็นตัวช่วย ซึ่ง Content เหล่านั้นถูกแสดงบน Feed ของ user ซึ่งแต่ละแบรนด์ก็จะมีการแข่งขันกันในการโพสต์เพื่อให้ User ได้ Engage กับโพสนั้นๆมากที่สุด และเมื่อมีการแข่งขันมากๆ Content ที่ถูกโพสโดยแบรนด์โดยปราศจากโฆษณาเหล่านี้ก็เริ่มลดน้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะจะมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการแสดงผลของ Content บน Social Platform นั้่นเอง

  • ดังนั้นการลงทุนสำหรับ Content ก็ถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่จะช่วยให้ได้ Engage มากขึ้นตามความต้องการ และข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่งเลยคือ ควรมีการวางแผน และผลิตเนื้อหาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Infographic, Videos, รูปภาพ สิ่งต่างๆเหล่านี้ เมื่อเราผลิตออกมาอย่างมีประสิทธิภาพ จะมีโอกาสช่วยกระตุ้นให้ผู้อ่านเกิดความสนใจใน Content ที่เราทำและสนใจซื้อสินค้าและบริการเรามากขึ้นนั่นเอง


องค์ประกอบของ Organic Content ควรมีอะไรบ้าง



องค์ประกอบสำคัญของ Organic Content มีองค์ประกอบหลักๆ ดังต่อไปนี้

  1. Headlines หรือ หัวข้อบทความ : หัวข้อบทความเป็นส่วนแรกที่ผู้อ่านเห็นเมื่อเข้ามาอ่านบทความของเรา และเป็นส่วนที่จะขึ้นอยู่บนหน้า SERPs (Search Engine Result Pages) ที่เชิญชวน สามารถกระตุ้นให้ผู้อ่านคลิกเข้ามาอ่านคอนเทนต์ของเรา รวมไปถึงควรสื่อสาร Brand Voice และ Mood and Tone ไปยังลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้

  2. Article Structure หรือ โครงสร้างของบทความ : โครงสร้างและความซับซ้อนของบทความหรือ Heading Depth หมายถึงหัวข้อย่อยภายในบทความของเรา โดยจากการศึกษาค้นพบว่า จำนวนของหัวข้อย่อยในบทความที่มากขึ้นจะส่งผลต่อประสิทธิภาพของคอนเทนต์ที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทั้งในแง่ของการทำให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายมากยิ่งขึ้น และบทความมีความเป็นระเบียบมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

  3. Visual Content หรือ ภาพหรือวิดีโอประกอบบทความ : เป็นส่วนช่วยในการอธิบายรายละเอียดของเนื้อหาให้ผู้อ่านเข้าใจมากยิ่งขึ้น รวมไปถึง ส่งผลต่อประสบการณ์ของผู้อ่านให้ดีมากยิ่งขึ้น เนื่องจาก Visual Content เปรียบเสมือนจุดพักสายตาให้ได้ผ่อนคลาย เมื่อต้องอ่านข้อความยาวๆ

  4. Article Quality and Topic Coverage หรือ คุณภาพของบทความ : บทความที่ยาวขึ้นซึ่งครอบคลุมเนื้อหาในเชิงลึก ส่วนใหญ่แล้วจะส่งผลต่อ Organic Traffic และจำนวน Blacklink ที่เพิ่มขึ้นตามมา โดยจากผลวิจัยชี้ว่าคอนเทนต์ที่มีประสิทธิภาพสูงจะมีจำนวนของคำอยู่ที่ 2,000 - 3,000 คำขึ้นไป


เป็นอย่างไรกันบ้าง สำหรับคำแนะนำและเกร็ดความรู้ดีๆด้านการสร้าง Content อย่างมีประสิทธิภาพที่เรานำมาฝากกัน หวังว่าเพื่อนๆจะสามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจหรือบริการของคุณได้


ขอบคุณภาพประกอบ : Freepick

 

Flare Dash แอปพลิเคชันบันทึกเวลาทำงานของพนักงาน และติดตามเส้นทางด้วย GPS ผ่านสมาร์ทโฟน


หากสนใจ คลิกที่ลิงค์ด้านล่างเพื่อติดต่อเราพร้อมรับสิทธิทดลองฟรี 14 วัน





bottom of page