Digital Fatigue คือ สภาวะเหนื่อยล้าจากดิจิทัลเนื่องจากใช้งานหรือใช้เวลาอยู่กับเครื่องมือดิจิทัลมากเกินไป ซึ่งจะทำให้เกิดความอ่อนล้าและเหนื่อยหน่ายทางจิตใจ หมดพลัง ซึ่งส่งผลเสียต่อร่างกายเราอย่างรุนแรง โดยหลักๆก็คือ ดวงตา เพราะว่า หน้าจอเครื่องดิจิทัลจะส่งแสงสีฟ้าออกมาซึ่งแสงสีฟ้านี้หากมองนานๆจะทำให้สายตาล้า และส่งผลกระทบไปถึงสมองอีกด้วย โดยในบทความนี้เราจะมาบอกวิธีจัดการและป้องกันกับภัยอันตรายอันนี้
ที่มา : pexels
Digital = ดิจิทัล Fatigue = ความเหนื่อยล้า
สาเหตุทำให้เกิดสภาวะ Digital Fatigue
ใช้งานเครื่องมือดิจิทัลมากเกินไป เนื่องจากสภาวะโรคระบาด COVID-19 ทำให้หลายๆบริษัทมีนโยบาย เวิร์คฟอร์มโฮม(Work From Home) กันมากขึ้นซึ่งทำให้เราใช้เวลาอยู่ที่หน้าจอคอมมากกว่าตอนอยู่ที่บริษัทเพราะการพูดคุยปรึกษาจากเดิมที่สามารถหันหน้าไปคุยกันได้กลายเป็นต้องมาปรึกษาผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์แทน
แสงสีฟ้าจากเครื่องมือดิจิทัล แสงสีฟ้า หรือ แสงสีน้ำเงินจากเครื่องมือดิจิทัลนี้เป็นหนึ่งในแสงที่มีอยู่ในแสงแดด ซึ่งหลายๆคนก็คิดว่าน่าจะส่งข้อดีมากกว่าข้อเสีย การคิดแบบนั้นถือว่าไม่ผิดซึ่งหากเราใช้งานในระยะเวลาที่พอเหมาะ แต่อย่าลืมว่าแสงสีฟ้านี้มากจากอุปกรณ์ดิจิทัลที่เราใช้งานในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน รวมไปถึงโทรทัศน์ ซึ่งมีคลื่นและพลังงานที่สูง ส่งผลต่อเซลล์ผิวกระจกตาและเยื่อบุตา ซึ่งทำให้เกิดอาการปวดตาแบบดิจิทัลนั่นเอง
ท่าทำงานที่ไม่เหมาะสม ท่านั่งในการทำงานนั้นถือว่าสำคัญมากๆ เพราะนอกจากเราจะต้องนั่งทำงานโดยไม่ค่อยได้ขยับไปไหนแล้วยิ่งเวิร์คฟอร์มโฮม(Work From Home) ด้วยแล้วการที่จะได้ลุกออกจากหน้าจอคอมก็ยิ่งน้อยลงมากขึ้นส่งผลให้เกิดการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อต่างๆและอาจจะส่งผลต่อสุขภาพจิตใจเวลาทำงานอีกด้วย
โรคระบาด COVID-19 การเปลี่ยนแปลงการทำงานจากที่บริษัทเป็นที่บ้านทำให้หลายๆคน แบ่งเวลาทำงานและชีวิตส่วนตัวไม่ชัดเจน ทำให้พนักงานที่ทำงานที่บ้านรู้สึกว่าระยะเวลาทำงานเพิ่มขึ้นกว่าที่อยู่ออฟฟิศ จนเกิดแรงกดดันที่มากขึ้นโดยไม่รู้สึกตัว และรู้สึกเหนื่อยมากขึ้นในการทำงาน
ผลเสียจากสภาวะ Digital Fatigue
ที่มา : pexels
รู้สึก เจ็บตา ตาล้า แสบตา คันตา อาจจะส่งผลทำให้สายตาสั้น
รู้สึกหมดพลังในการทำงาน เนื่องจากรู้สึกว่าแต่ละวันเต็มไปด้วยความซ้ำซากจำเจ
ปวดหัวหรือไมเกรน
เจ็บกล้ามเนื้อบริเวณต่างๆ
ขาดสมาธิ เหม่อลอย และ คิดฟุ้งซ่านบ่อยขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง
หน้าตา เซื่องซึม และดูง่วงนอนตลอดเวลา
ฉุนเฉียว หงุดหงิดง่าย
รู้สึกสิ้นหวังเวลาจะเริ่มทำอะไรสักอย่าง
วิธีป้องกันสภาวะ Digital Fatigue
ที่มา : pexels
วางแผนการทำงานให้เป็นระบบ: จัดวางแผนการทำงานของแต่ละวันก่อนเริ่มทำงาน เพื่อทำให้คุณรับรู้ถึงปริมานงานของคุณและยังสามารถกำหนดเวลาการทำงานได้อีกด้วย
ลดการสัมผัสจากแสงสีฟ้า: แก้ไขง่ายๆโดยการสวมใส่แว่นตา หรือปรับแสงของหน้าจอให้พอเหมาะ และเมื่อเสร็จงานก็ควรหาอะไรอย่างอื่นที่ไม่ได้สัมผัสกับแสงสีฟ้าทำ
จัดท่านั่งและตำแหน่งของจอภาพให้เหมาะสม: วางจอภาพให้อยู่ในระยะสายตาเพื่อหลีกเลี่ยงการนั่งหลังงอ
พักสายตาจากการทำงาน: บางคนคิดว่าการทำงานคือการที่เราต้องทุ่มเทอยู่กับงานจนกว่างานจะสำเร็จ ซึ่งการหยุดพักก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด การพักสัก 5-10 นาทีระหว่างทำงาน จะช่วยให้เราผ่อนคลายขึ้น แต่อย่าพักบ่อยเกินไปจนทำงานไม่เสร็จละ
ออกไปข้างนอก: การออกไปรับอากาศบริสุทธิ์ช่วยให้ร่างกายเรากลับมากระปรี้กระเปร่า โดยเฉพาะการได้ขยับตัวหรือออกกำลังกายเบาๆ
รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ: การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ จะช่วยเติมพลังงานให้คุณได้โดยที่คุณไม่รู้ตัว
พูดคุย ปรึกษากับเพื่อนร่วมงาน: การสื่อสารระหว่างกันเป็นสิ่งสำคัญมาก แค่โทรหาหรือทักทายหรือพูดคุยเล็ก ๆ น้อย ๆ ในแชท จะช่วยทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายได้ดีทีเดียว
5 วิธีช่วยพนักงานไม่ให้เกิดภาวะ Digital Fatigue
ที่มา : pexels
1.ผลัดเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศบ้าง
การที่ให้พนักงานได้กลับมาทำงานในออฟฟิศนั้นจะช่วยทำให้ตัวพนักงานรู้สึกไม่เบื่อหน่ายจำเจกับการทำงานอยู่แต่ที่บ้านเพียงอย่างเดียว ซึ่งการทำงานที่ออฟฟิศบ้างจะช่วยสร้างปฏิสัมพันธ์ การมีส่วนร่วม และความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีมเพิ่มขึ้นอีกด้วย
2. มีช่วงเวลาให้พนักงานได้พูดคุยและปรึกษากัน
บริษัทจำเป็นต้องมีช่วงเวลาให้พนักงานได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน เพราะการพูดคุยปรึกษากันจะช่วยทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
3. ถามความเห็นจากพนักงาน
การถามความคิดเห็นของพนักงานและความรู้สึกในการทำงานที่บ้านอาจจะทำให้สามารถคิดแผนแก้ไขปัญหาต่างๆได้ง่ายกว่าที่คุณคิดแถมยังทำให้สามารถมองเห็นจุดบกพร่องที่อาจจะมองไม่เห็นก็เป็นได้
4. เตรียมพร้อมอุปกรณ์สำำหรับพนักงาน
หากมีนโยบายในการทำงานนอกสถานที่หรือที่บ้าน ทางบริษัทต้องทำการสนับสนุนอุปกรณ์การทำงานที่เหมาะสมให้แก่พนักงาน เพราะการที่อุปกรณ์การทำงานไม่เอื้ออำนวยจะทำให้พนักงานรู้สึกเบื่อหรือขี้เกียจทำงานได้
ขอบคุณทุกคนที่ได้เข้ามาอ่านบทความนี้หวังว่าจะได้ประโยชน์จากบทความนี้ไม่มากก็น้อยนะครับ และอย่าลืมติดตามบทความใหม่ๆจากเราทีม Flare Dash ขอบคุณครับ
สรุป
Digital Fatigue คือสภาวะ การเหนื่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งมาจากการที่เราทำงานอยู่ในที่ที่ไม่เหมาะแก่การทำงานซึ่งเราสามารถทำการแก้ไขสิ่งนี้ได้โดยการ จัดเวลาการทำงานให้เป็นระบบ และพูดคุยปรึกษากันระหว่างคนในทีมเพื่อให้งานออกมามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
Flare Dash แอปพลิเคชันบันทึกเวลาทำงานของพนักงาน และติดตามเส้นทางด้วย GPS ผ่านสมาร์ทโฟน
หากสนใจ คลิกที่ลิงค์ด้านล่างเพื่อติดต่อเราพร้อมรับสิทธิทดลองฟรี 14 วัน
Comments