ที่มา : pexels
SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization
คือระบบการจัดอันดับการค้นหาของเว็บไซต์ของเราที่จะแสดงในหน้าค้นหาของ Google ซึ่งจะช่วยทำให้มีผู้เข้ามาเห็นหรือเข้าชมเว็บไซต์ของเรามากยิ่งขึ้น เนื่องจากเห็นเว็บไซต์ของเราเวลาค้นหาด้วย Google โดยจะใช้อะไรในการคำนวนการจัดอันดับบ้าง ไปดูกันได้เลย
ที่มา : pexels
1. คำหรือคีย์เวิร์ด(Keyword)
เวลาเราต้องการจะค้นหาอะไรสักอย่าง ก็มักจะพิมพ์ชื่อสิ่งของที่เราต้องค้นหาลงในช่องเพื่อค้นหาในสิ่งที่เราต้องการจะทราบ ซึ่งถ้าหากเราตั้งคีย์เวิร์ดการค้นหา ได้ตรงกับคำที่ผู้คนพิมพ์ค้นหามากที่สุดก็จะทำให้เว็บไซต์เราถูก Google นำไปแสดงในหน้าแรกเวลาค้นหา ซึ่งจะทำให้ผู้ค้นหาเห็นเว็บไซต์ของเราก่อนและทำการคลิกเข้ามาในเว็บไซต์ของเรานั่นเอง ตัวอย่างเช่น
ค้นหา "รถ" ซึ่งคุณสามารถระบุ ยี่ห้อรถหรือลักษณะรถเพิ่มเติมเข้าไปเพื่อเพิ่มความเฉพาะเจาะจงมากขึ้นเช่น รถไฟ้ฟ้า, รถประหยัดน้ำมัน หรือพิมพ์ชื่อยี่ห้อรถก็ได้ ซึ่งการใช้คีย์เวิร์ดแบบเฉพาะเจาะจง จะช่วยเพิ่มโอกาสที่ผู้ค้นหาเข้ามาชมเว็บไซต์และอาจกลายเป็นลูกค้าของเราในอนาคต
2. จำนวนในการค้นหา
นอกจากคีย์เวิร์ด ที่คนนิยมค้นหาแล้วจำนวนในการค้นหาก็สำคัญเหมือนกันโดย แต่ละประเภทธุรกิจก็จะมีปัจจัยการค้นหา และจำนวนการค้นหาที่แตกต่างกัน โดยเราสามารถใช้งานเครื่องมือในการช่วยตรวจสอบได้ตามวิธีดังนี้
เช็คด้วย Google Trend
เช็คด้วย Keyword Planner
เช็คด้วย Mangools
3. คีย์เวิร์ด ประเภท High Commercial Intent
Commercial - เกี่ยวกับการค้า Intent - เจตนา, ความตั้งใจ
คีย์เวิร์ด แบบ High Commercial Intent เป็นคีย์เวิร์ดที่จะช่วยเรื่องการเพิ่มยอดขายกับธุรกิจเป็นอย่างมาก เพราะมันคือคำที่ลูกค้าหรือผู้ค้นหาระบุมันลงเวลาทำการค้นหา ตัวอย่างเช่น
หนังสือมือ 2 ราคาถูก
ตามหาแก้วน้ำจากประเทศญี่ปุ่น
Preorder สินค้าจากประเทศญี่ปุ่น
จองตั๋วหนังเรื่อง... เป็นต้น
วิธีการทำ SEO
ต่อไปเป็นวิธีการทำ SEO ให้เหมาะสมกับเว็บไซต์ของเราโดยการปรับแต่งเว็บไซต์ เนื้อหา โครงสร้างบนเว็บไซต์ให้สอดคล้องและตรงตามที่ค้นหาต้องการและตรงตามกับสินค้าที่ทางบริษัทต้องการขายโดยสิ่งที่จำเป็นสำหรับเว็บไซต์มีดังต่อไปนี้
1. คุณภาพของเนื้อหาและไม่น้อยเกินไป
เนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณนั้นต้องตอบโจทย์คนค้นหามีข้อมูลที่ชัดเจนน่าเชื่อถือ มีความยาวและจำนวนคำที่พอเหมาะไม่น้อยเกินไปและถ้าหากมีลิงค์จากเว็บไซต์อื่นๆหรือเว็บไซต์อื่นของเราก็จะช่วยทำให้เว็บไซต์ของเราดีขึ้นอีกด้วย เพราะ Google นั้นให้ความสำคัญกับเนื้อหาบนเว็บไซต์มากที่สุดซึ่งสิ่งที่จำเป็นเวลาเขียนบทความบนเว็บไซต์มีดังต่อไปนี้
มีจำนวนคำอย่างน้อย 1500 - 2000 คำ
ในเนื้อหาต้องมีคำหรือตีย์เวิร์ด ที่ใช้บ่งบอกถึงข้อมูลในบทความนี้
ตั้งค่า หัวข้อ(Title) & คำอธิบาย(Description)
ทำลิงค์รูปภาพ หรือลิงค์ข้อความสำหรับเชื่อมโยงกับเว็บไซต์อื่นๆ
ใส่คำอธิบายใต้รูปภาพหรือเพิ่ม Tags เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหา
หากทำตามข้อมูลด้านบนก็สามารถการันตรีได้เลยว่าบทความของคุณได้อยู่อันดับแรกๆเวลาค้นหาแน่นอน
2. มีคำหรือประโยคที่เกี่ยวข้องกับคำที่ถูกใช้ค้นหา
คำหรือ Keyword ที่ดีคือคำที่คนใช้พิมพ์ค้นหามากที่สุดหากคุณใช้คำที่ไม่ค่อยมีคนค้นหา การทำ SEO ก็ถือว่าไร้ความหมาย เพราะไม่มีใครเห็นเว็บไซต์ของคุณเวลาค้นหา ซึ่งนอกจาก Keyword แล้วเนื้อหาของบทความก็ต้องมีความเกี่ยวข้องกับคำที่ใช้ตั้ง Keyword ด้วย
3. มีภาพประกอบหรือคลิปวีดีโอ
การมีภาพประกอบ หรือวีดีโอในบทความจะยิ่งช่วยเพิ่มคะแนนเวลาจัดอันดับบน Google ซึ่งเรายังสามารถเพิ่มคำอธิบายใต้คลิปวีดีโอหรือใต้รูปภาพเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO ให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
4. เนื้อหามีความสดใหม่ทันเหตุการณ์
หากเนื้อหาของคุณเป็นเนื้อหาที่แปลกใหม่ไม่ซ้ำกับใครจะทำให้ Google ช่วยจัดอันดับให้เว็บไซต์ของคุณมาอยู่เป็นอันดับบนๆ ซึ่งเนื้อหานั้นไม่ควรก๊อปมาจากเว็บไซต์อื่นเพราะ Google สามารถตรวจสอบได้ ควรทำการเรียบเรียงขึ้นมาใหม่ตามแบบฉบับของเรา
สิ่งที่ไม่ควรทำหากไม่อยากให้เว็บไซต์ของคุณถูกตัดคะแนนในการทำ SEO
สำหรับสิ่งที่ไม่สมควรทำเวลาคุณสร้างบทความบนเว็บไซต์ของคุณโดยจะมีดังต่อไปนี้
1. เว็บไซต์มีเนื้อหาที่น้อยเกินไป
Google ให้ความสำคัญกับเนื้อหาและคุณภาพของเว็บไซต์ หรือบทความมากที่สุด ฉะนั้นถ้าหากเว็บไซต์หรือบทความของคุณมีเนื้อหาที่น้อยเกินไปก็จะส่งผลลบในการจัดอันดับเว็บไซต์ของคุณบน Google
2. คัดลอกเนื้อหาจากเว็บไซต์อื่น
Google ให้ความสำคัญกับการละเมิดลิขสิทธิ์(Piracy) เป็นอย่างมากโดยเฉพาะเนื้อหา และรูปภาพ ฉะนั้นหากคุณนำเนื้อหาหรือรูปภาพมาจากเว็บไซต์อื่นๆโดยไม่ได้รับอนุญาติ ก็อาจจะถูกลบ หรือได้รับบทลงโทษอื่นๆจากทาง Google
3. การซ่อนคีย์เวิร์ดไว้เยอะเกินไป
การซ่อนคีย์เวิร์ดคือการที่เรานำลิงค์ของเว็บไซต์อื่นๆ นำมาแอบใส่ในบทความของเราซึ่งการทำแบบนี้จะเป็นการช่วยเพิ่มการจัดอันดับใน Google ให้เร็วยิ่งขึ้น แต่อาจจะไม่เป็นเช่นนั้นเพราะ Google รู้ทันคุณ ฉะนั้นควรใส่ Keyword ในอันที่สำคัญๆในปริมาณที่พอเหมาะ สำหรับใครที่สงสัยว่าการ ซ่อนคีย์เวิร์ดที่กล่าวถึงด้านบนเป็นแบบใด ลองดูได้ที่ด้านล่างครับ สวัสดีวันจันทร์ (<< ลองใช้เม้าส์เลื่อนมาดูนะครับ)
4. การใส่คีย์เวิร์ดแบบไม่มีเหตุผล
นอกจากการซ่อนคีย์เวิร์ดแล้ว การใส่คีย์เวิร์ด แบบไร้เหตุผลไม่มีความสอดคล้องกับเนื้อหา หรือใส่เยอะเกินไปจนไม่เป็นประโยค เช่น แอปบันทึกเวลางาน ,บันทึกเวลา ,เวลาทำงาน ,แอปพลิเคชัน ,แอปทำงาน ,บันทึก ,เวลางานบันทึก ,Time Attendance App ,แอป Time Attendance เป็นต้น
5. มีโฆษณาที่มากเกินไป
หากมีโฆษณา แบนเนอร์(Banner) หรือ ป๊อปอัป(Pop-Up) บนเว็บไซต์มากเกินไปจะส่งผลลบต่อเว็บไซต์ของคุณเนื่องจาก Google คิดว่าผู้ที่เข้าชมเว็บไซต์จะได้รับประสบการณ์แย่ๆเวลาเข้าเว็บไซต์ของคุณ
6. ใช้ตัวช่วยเพื่อการจัดอันดับ
ในการจัดอันดับบน Google ก็จะมีตัวช่วย ซึ่งเรียกว่า Backlink ที่จะช่วยเพิ่มการจัดอันดับเว็บไซต์ของคุณซึ่งถ้าหาก Google ตรวจจับได้ว่าคุณใช้ Backlink ก็อาจจะจะส่งผลเสียต่อเว็บไซต์ของคุณได้เช่นกัน
การใช้ Backlink นั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสียถ้าหากคุณเลือกใช้ Backlink ที่มีคุณภาพก็จะช่วยในการจัดอันดับเว็บไซต์ของคุณ แต่ถ้าหากเลือก Backlink ที่ไม่มีคุณภาพ หรือใช้โปรแกรมในการช่วยจัดอันดับ ก็จะส่งผลเสียมากกว่าผลดีต่อเว็บไซต์ของคุณซึ่งอาจจะถึงขั้นที่ไม่สามารถค้นหาจาก Google ได้อีกเลย
*Backlink คือ ลิงค์ของเว็บไซต์อื่นๆ ที่มีการลิงค์ถึงเว็บไซต์ของเรา ซึ่งเหมือนเป็นการบอก Google ให้รู้ว่าเว็บไซต์ของเรานั้นมีคุณภาพและได้รับการยอมรับจากเว็บไซต์อื่นๆ
Flare Dash แอปพลิเคชันบันทึกเวลาทำงานของพนักงาน และติดตามเส้นทางด้วย GPS ผ่านสมาร์ทโฟน
หากสนใจ คลิกที่ลิงค์ด้านล่างเพื่อติดต่อเราพร้อมรับสิทธิทดลองฟรี 14 วัน